22,765 Works

การศึกษาอักขรวิธีและทักษะเพื่อการสื่อสารเบื้องต้นในตำราเรียนภาษาไทยระดับอุดมศึกษาของมหาวิทยาลัยชนชาติยูนนาน

H Yue
วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา, 12, 1, 1.-25

แบบเรียนภาษาไทยเชิงวัฒนธรรม เรื่อง \"น้ำ: วิถีคนวิถีไทย\" สำหรับนักศึกษาชาวต่างชาติ

วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา, 12, 1, 45-55

การพัฒนามาตรฐานวิชาชีพอาจารย์พยาบาล สังกัดมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ

การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ พัฒนามาตรฐาน ตัวบ่งชี้ และเกณฑ์การประเมินมาตรฐานวิชาชีพอาจารย์ พยาบาล สังกัดมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงบรรยาย กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย กลุ่ม ข้อมูลจากเอกสารที่เกี่ยวข้อง กลุ่มผู้บริหารและกลุ่มอาจารย์พยาบาลสายวิชาการ ระดับปฏิบัติการ จำนวน 250 คน และกลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิด้านมาตรฐานวิชาชีพการศึกษาและวิชาชีพการพยาบาล จำนวน 10 คน เครื่องมือที่ใช้ในการ วิจัย ประกอบด้วย 1) แบบการวิเคราะห์เนื้อหา 2) แบบสอบถาม ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา ได้ค่าดัชนีความ สอดคล้องระหว่างคำถาม เท่ากับ .91 และหาค่าความเที่ยงของแบบสอบถาม ได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของ ครอนบาค เท่ากับ .96 3) แนวคำถามในการประชุมสนทนากลุ่ม และ 4) แบบรวบรวมความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ เก็บรวบรวมข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาจากเอกสาร วิเคราะห์ องค์ประกอบเชิงสำรวจ (Exploratory Factor Analysis) วิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (Confirmatory Factor Analysis) อันดับที่หนึ่งและอันดับที่สอง วิเคราะห์เนื้อหาจากการประชุมสนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ ตรวจสอบ ความเหมาะสมของมาตรฐาน ตัวบ่งชี้ และเกณฑ์ประเมินวิชาชีพอาจารย์พยาบาลโดยผู้เชี่ยวชาญ ผลการวิจัยพบว่า องค์ประกอบที่สกัดได้จากการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจมี 8 องค์ประกอบ 83 ตัวบ่งชี้ โดยองค์ประกอบสมรรถนะวิชาชีพการพยาบาลสามารถอธิบายความแปรปรวนของตัวแปรได้มากที่สุด ร้อยละ 31.508 การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับที่สอง พบว่า โมเดลการวัดตัวแปรแฝงทุกองค์ประกอบ มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์มาก (X² = 6.67, df...

การศึกษากิจกรรมนันทนาการเชิงวัฒนธรรมของชาวภูไทเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว

การวิจัยในครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากิจกรรมนันทนาการเชิงวัฒนธรรมของชาวภูไท และวิเคราะห์กิจกรรมนันทนาการเชิงวัฒนธรรมของชาวภูไทเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่หมู่บ้าน โคกโก่ง จังหวัดกาฬสินธุ์ ในช่วงเดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๒ ถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓ โดยมุ่งศึกษากิจกรรมนันทนาการเชิงวัฒนธรรม ๑๓ ชนิด ด้วยวิธีการสังเกตและสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลหลักจำนวน ๓๓ คน พร้อมทั้งตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูลแบบสามเส้า แล้วนำเสนอเป็นความเรียง ได้แก่ ๑) กิจกรรมนันทนาการศิลปหัตถกรรม ๒) กิจกรรมนันทนาการการละเล่นพื้นบ้าน ๓) กิจกรรมนันทนาการการฟ้อนรำและกิจกรรมเข้าจังหวะ ๔) กิจกรรมนันทนาการพัฒนาจิตใจและความสงบสุข ๕) กิจกรรมนันทนาการการละคร ๖) กิจกรรมนันทนาการงานอดิเรก ๗) กิจกรรมนันทนาการดนตรีและร้องเพลง ๘) กิจกรรมนันทนาการทางสังคม ๙) กิจกรรมนันทนาการในโอกาสพิเศษ ๑๐) กิจกรรมนันทนาการภาษาและวรรณกรรม ๑๑) กิจกรรมนันทนาการอาสาสมัคร ๑๒) กิจกรรมนันทนาการสุขภาพและสมรรถภาพ และ ๑๓) กิจกรรมนันทนาการมนุษยสัมพันธ์ ผลการวิจัยพบว่า ผู้ให้ข้อมูลหลักเห็นพ้องต้องกันว่า กิจกรรมนันทนาการเชิงวัฒนธรรมของชาวภูไท บ้านโคกโก่ง จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นกิจกรรมที่กระทำในช่วงเวลาว่างอย่างสร้างสรรค์ สะท้อนลักษณะทางสังคม แนวคิด ความเชื่อ ค่านิยม และศิลปวัฒนธรรมของคนในท้องถิ่น ที่ยังคงรักษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมมาจนถึงปัจจุบัน ก่อให้เกิดความสุขทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และพัฒนาสติปัญญาให้ดีขึ้น จากการวิเคราะห์กิจกรรมนันทนาการเชิงวัฒนธรรมที่สามารถส่งเสริมการท่องเที่ยวในชุมชนภูไท ได้แก่ ๑) กิจกรรมนันทนาการศิลปหัตถกรรม ได้แก่ การทอผ้าแพรวา ซึ่งเป็นผ้าที่มีความวิจิตรงดงามของลวดลายและกรรมวิธีการทอที่เป็นเอกลักษณ์ ๒) กิจกรรมนันทนาการการฟ้อนรำและกิจกรรมเข้าจังหวะในงานบุญประเพณี เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวผู้มาเยือน ๓) กิจกรรมนันทนาการการละคร ได้แก่...

การพัฒนาโปรแกรมการเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคมสำหรับนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 4-6

การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อพัฒนาโปรแกรมและแบบประเมินการเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคมสำหรับนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 4-6 (2) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบระดับของการเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคมของกลุ่มทดลองก่อนและหลังการทดลอง (3) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบระดับของการเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคมระหว่างกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองหลังการทดลอง การวิจัยครั้งนี้เริ่มดำเนินตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม ถึงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2554 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคการศึกษาที่ 2 ปีการศึกษา 2553 โรงเรียนอุบลรัตน์ จำนวน 60 คน ซึ่งถูกสุ่มออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม จำนวนกลุ่มละ 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ โปรแกรมการเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคมสำหรับนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 4-6 จำนวน 12 กิจกรรม และแบบประเมินการเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคมด้วยตนเอง จำนวน 39 ข้อ แบ่งออกเป็น 5 ด้าน ได้แก่ ด้านการตระหนักรู้ตนเอง ด้านการจัดการตนเอง ด้านการตระหนักรู้สังคม ด้านการรับผิดชอบต่อการตัดสินใจ และด้านการสร้างสัมพันธภาพ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติบรรยาย และการทดสอบค่าทีแบบเป็นอิสระและไม่เป็นอิสระ ผลการวิจัยพบว่า (1) หลังจากได้รับการสอนด้วยโปรแกรมการเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคมที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น ระดับของการเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคมของกลุ่มทดลองสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (2) หลังจากได้รับการสอนด้วยโปรแกรมการเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคมที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น ระดับของการเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคมของกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

ผลของหัวเชื้อเส้นใยเห็ดเผาะ Astraeus spp. ต่อการสร้างไมคอร์ไรซาและการกระตุ้นการเติบโตของกล้าไม้ยางนา

เห็ดเผาะฝ้าย (Astraeus asiaticus) และเห็ดเผาะหนัง (A. odoratus) เป็นราเอคโตไมคอร์ไรซาของไม้วงศ์ไม้ยาง ซึ่งเป็นไม้ที่สำคัญของป่าเขตร้อนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะในประเทศไทย ปัจจุบันการปลูกป่าไม้วงศ์ไม้ยางมักจะไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากขาดราเอคโตไมคอร์ไรซาอาศัยอยู่ร่วมด้วย ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนาวิธีการใส่หัวเชื้อเพื่อที่จะนำไปประยุกต์ใช้ในการปลูกป่า ในการศึกษาครั้งนี้ ได้เก็บตัวอย่างดอกเห็ดเผาะจากแหล่งต่างๆในประเทศไทย มาทำการแยกเส้นใยให้บริสุทธ์ได้ราเอคโตไมคอร์ไรซาเห็ดเผาะฝ้ายและเห็ดเผาะหนัง 45 สายพันธุ์ และ 9 สายพันธุ์ ตามลำดับ จากนั้นคัดเลือกสายพันธุ์ราเอคโตไมคอร์ไรซาเห็ดเผาะเพื่อใช้ในการผลิตหัวเชื้อ โดยคัดเลือกสายพันธุ์ราเอคโตไมคอร์ไรซาเห็ดเผาะฝ้ายและเห็ดเผาะหนังที่มีการเจริญดีที่สุดบนอาหารเลี้ยงเชื้อ PDA เมื่ออายุ 14 วัน คือสายพันธุ์ KANII6 และ TAK8 ตามลำดับ ทำการหาชนิดอาหารเลี้ยงเชื้อและค่า pH ที่เหมาะสมสำหรับการเจริญของเส้นใยราเอคโตไมคอร์ไรซาเห็ดเผาะสายพันธุ์ที่คัดเลือกได้ พบว่าเส้นใยราเอคโตไมคอร์ไรซาเห็ดเผาะฝ้ายสายพันธุ์ KANII6 และเห็ดเผาะหนังสายพันธุ์ TAK8 มีการเจริญดีที่สุดในอาหารเลี้ยงเชื้อชนิด MMN ที่มีค่า pH 5.5 โดยมีน้ำหนักแห้งของเส้นใยเมื่ออายุครบ 35 วันเป็น 1.95 และ 2.17 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร ตามลำดับ เมื่อประเมินผลของวิธีการใส่หัวเชื้อเส้นใยรูปแบบต่างๆ คือ เส้นใยแขวนลอย เส้นใยเจริญในวัสดุผสมเวอร์มิคูไลท์และพีทมอส เส้นใยเจริญในวัสดุผสมขุยมะพร้าวและแกลบ และเส้นใยที่ทำให้อยู่ในเม็ดแคลเซียมอัลจิเนต ที่มีต่อการติดเชื้อไมคอร์ไรซาและการกระตุ้นการเติบโตของกล้าไม้ยางนาเมื่ออายุ 8 เดือน พบว่า ในชุดควบคุมที่ไม่ได้ใส่หัวเชื้อ ไม่พบการติดเชื้อไมคอร์ไรซา สำหรับเปอร์เซ็นต์การติดเชื้อไมคอร์ไรซาของราเอคโตไมคอร์ไรซาทั้งสองสายพันธุ์มีค่าใกล้เคียงกันโดยชุดการทดลองที่ใส่หัวเชื้อเส้นใยราเอคโตไมคอร์ไรซาเห็ดเผาะฝ้ายสายพันธุ์ KANII6 มีเปอร์เซ็นต์การติดเชื้อไมคอร์ไรซา 5.67 – 13.44 % สำหรับชุดการทดลองที่ใส่หัวเชื้อเส้นใยราเอคโตไมคอร์ไรซาเห็ดเผาะหนังสายพันธุ์ TAK8 มีเปอร์เซ็นต์การติดเชื้อไมคอร์ไรซา 5.33 –...

การสร้างเนื้อหาบทสนทนาจากหน้าเว็บไซต์สำหรับใช้งานในหุ่นยนต์สนทนา

ปัจจุบันได้มีการนำหุ่นยนต์สนทนามาใช้ในการให้บริการทางหน้าเว็บไซต์มากขึ้น นอกจากจะเพิ่มความคล่องตัวในการบริการผู้เข้าเว็บไซต์แล้ว ยังช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์สามารถประหยัดค่าแรงได้อีกต่อหนึ่ง อย่างไรก็ตามการเตรียมบทสนทนาให้กับหุ่นยนต์สนทนานั้นค่อนข้างใช้เวลา ผู้ดูแลจำต้องใช้เวลาในการศึกษาเพื่อเตรียมบทสนทนาต่าง ๆ ให้ได้จำนวนมาก งานวิจัยนี้ทำการนำเสนอวิธีการสร้างเนื้อหาบทสนทนาให้กับหุ่นยนต์สนทนาแบบอัตโนมัติตามหัวข้อเรื่องสนทนาที่กำหนด ซึ่งเนื้อหาบทสนทนาจะถูกดึงมาจากข้อมูลที่มีอยู่แล้ว เช่น จากเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่กำหนด โดยเนื้อหาจะถูกวิเคราะห์ด้วยเซมิมาคอฟ คอนดิชันนัล แรนดอม ฟิลด์ เพื่อให้ได้หน้าที่ของคำแต่ละคำในประโยคแต่ละประโยค แล้วจึงทำการสร้างประโยคคำถามและคำตอบสำหรับบทสนทนา โดยใช้กฎที่นำเสนอในวิทยานิพนธ์นี้ ระบบที่นำเสนอในงานวิทยานิพนธ์นี้ ใช้เนื้อหาจากหน้าเว็บไซต์ทั้งหมดห้าเว็บไซต์ในการทดสอบ ซึ่งได้ผลสรุปว่า เนื้อหาที่สร้างโดยวิธีอัตโนมัติที่นำเสนอนั้น สามารถนำมาใช้ตอบคำถามได้ ร้อยละ 64.93 ของคำถามเกี่ยวกับข้อมูลที่มี ทำให้สามารถประหยัดเวลาในการสร้างบทสนทนาให้กับหุ่นยนต์สนทนาได้

ผลของการเผาแร่ดินเบาที่มีต่อการดูดซับโครเมต

การวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของแร่ดินเบาที่ถูกปรับปรุงด้วยความร้อนสำหรับกำจัดโครเมต ได้ทำการศึกษาการปรับปรุงแร่ดินเบาโดยวิธีการเผาที่อุณหภูมิแตกต่างกันสภาวะที่เหมาะสมสำหรับการดูดซับที่ทำการศึกษา ได้แก่ ค่าพีเอช ช่วงเวลาที่สัมผัส ความเข้มข้นของสารละลายโครเมต และปริมาณแร่ดินเผา ไอโซเทอมการดูดซับแบบแลงมัวร์ และแบบฟรุนดลิช รวมถึงผลกระทบของแอนไอออนต่างๆ ที่รบกวนการดูดซับโครเมตได้ทำการศึกษาเช่นกัน ผลการศึกษาแสดงว่าแร่ดินเบาที่ผ่านการเผาที่อุณหภูมิ 400 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 6 ชั่วโมง (CD400) เป็นตัวดูดซับโครเมตได้ดีที่สุด สามารถกำจัดโครเมตได้ 42.98 เปอร์เซ็นต์ โดยสภาวะที่เหมาะสมสำหรับการกำจัดโครเมตที่ระดับความเข้มข้นเท่ากับ 1 มิลลิกรัมต่อลิตร ปริมาณตัวดูดซับ CD400 เท่ากับ 8 กรัม เวลาสัมผัส 60 นาที ที่ความเร็ว 200 รอบต่อนาที พีเอช 6 และผลการศึกษาไอโซเทอมพบว่า ตัวดูดซับ CD400 มีรูปแบบสมการการดูดซับแบบแลงมัวร์ และการศึกษาผลกระทบของแอนไอออนต่าง ๆ ที่รบกวนการดูดซับ พบว่า คลอไรด์ไนเตรท คาร์บอเนต ฟอสเฟต และซัลเฟตมีผลทำให้ประสิทธิภาพการดูดซับโครเมตลดลง

แองเจิล แก๊งสตาซ์ : อัตลักษณ์และการใช้เวลาว่างของผู้หญิงแต่งรถ

ศึกษาสาเหตุที่ทำให้ผู้หญิงเลือกการแต่งรถเป็นกิจกรรมในเวลาว่าง ตลอดจนศึกษาทำความเข้าใจกระบวนการแต่งรถของผู้หญิง และศึกษาอัตลักษณ์ของผู้หญิงผ่านการแต่งรถของตนเอง รูปแบบการวิจัยเป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้การสังเกตแบบมีส่วนร่วม การสัมภาษณ์แบบไม่เป็นทางการ และการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก จากการศึกษาครั้งนี้ ได้เก็บรวบรวมข้อมูลกลุ่มแองเจิล แก๊งสตาซ์ จำนวน 6 คน ผลการศึกษาพบว่า กระบวนการแต่งรถของสมาชิกทีมแองเจิล แก๊งสตาซ์ แต่ละบุคคลมีทั้งความเหมือนและความแตกต่างกันตามรสนิยมส่วนตัวของแต่ละคน และรสนิยมในการแต่งรถของแต่ละคนเมื่อมารวมกลุ่มกันก็ได้กลายเป็นรสนิยมร่วมที่เป็นจุดเด่นของทีม อัตลักษณ์ที่ผู้หญิงสร้างขึ้นผ่านการแต่งรถคือ การทำสีรถให้แปลกและสะดุดตารวมไปถึงการรวมกลุ่มตั้งทีมเฉพาะผู้หญิงขึ้น โดยชื่อทีมและสติ๊กเกอร์ของทีมเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึง ความเป็นผู้หญิงได้อย่างชัดเจนและเป็นสิ่งที่ทำให้อัตลักษณ์ของกลุ่มเด่นชัดขึ้น การสร้างอัตลักษณ์ของตนเองและอัตลักษณ์ร่วมเป็นไปเพื่อให้เป็นที่สนใจของสังคม โดยเฉพาะในวงการแต่งรถ สรุปได้ว่าปัจจุบันรถยนต์ไม่เพียงแค่เป็นยานพาหนะและบ่งบอกถึงฐานะและสถานภาพของเจ้าของเพียงเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงรูปแบบการดำเนินชีวิตและรสนิยมของแต่ละคน จากการทำกิจกรรมในเวลาว่างผ่านรถของตนเองซึ่งทุนทางเศรษฐกิจเป็นตัวช่วยให้สามารถเลือกทำกิจกรรม เพื่อสร้างอัตลักษณ์ของตนให้แตกต่างจากผู้อื่นดังเช่นกิจกรรมการแต่งรถที่ผู้หญิงทีม แองเจิล แก๊งสตาซ์ ได้พยายามสร้างตัวตนและพยายามก้าวข้ามไปยังพื้นที่ที่สังคมเห็นว่า เหมาะสมกับผู้ชายซึ่งนับได้ว่าเป็นปรากฎการณ์ใหม่ของสังคม

การเปิดรับข่าวสาร ทัศนคติ และการยอมรับของวัยรุ่นที่มีต่อกฎหมายห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก่บุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์

การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเปิดรับข่าวสาร ทัศนคติและการยอมรับของวัยรุ่นที่มีต่อกฎหมายห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก่บุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ กลุ่มตัวอย่างคือ วัยรุ่นผู้ซึ่งมีอายุระหว่าง 15-19 ปีที่อาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ แบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลอาศัยค่าเฉลี่ย t-test One-way ANOVA ค่าสถิติสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหูคูณ ประมวลผลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป SPSS. ผลการวิจัยพบว่า 1.วัยรุ่นที่มีเพศ ระดับการศึกษา และระดับรายได้ของครอบครัวแตกต่างกันมีการเปิดรับข่าวสารเกี่ยวกับกฎหมายห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก่บุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ไม่แตกต่างกัน 2.วัยรุ่นที่มีอายุแตกต่างกันมีการเปิดรับข่าวเกี่ยวกับสารกฎหมายห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก่บุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์แตกต่างกัน 3.วัยรุ่นที่มีลักษณะทางประชากรแตกต่างกันมีทัศนคติต่อกฎหมายห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก่บุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่า20ปีบริบูรณ์ไม่แตกต่างกัน 4.วัยรุ่นที่มีเพศ อายุ และระดับการศึกษาแตกต่างกันมีการยอมรับกฎหมายห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก่บุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่า20 ปีบริบูรณ์แตกต่างกัน 5.วัยรุ่นที่มีระดับรายได้ของครอบครัวแตกต่างกันมีการยอมรับกฎหมายห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก่บุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่า20ปีบริบูรณ์ไม่แตกต่างกัน 6.การเปิดรับข่าวสารเกี่ยวกับกฎหมายห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก่บุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่า20 ปีบริบูรณ์ของวัยรุ่น มีความสัมพันธ์ในระดับต่ำกับทัศนคติต่อกฎหมายห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก่บุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่า20ปีบริบูรณ์ 7.การเปิดรับข่าวสารเกี่ยวกับกฎหมายห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก่บุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่า20ปีบริบูรณ์ของวัยรุ่น มีความสัมพันธ์ในระดับปานกลางกับการยอมรับกฎหมายห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก่บุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ 8.ทัศนคติต่อกฎหมายห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก่บุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่า20ปีบริบูรณ์ของวัยรุ่น มีความ สัมพันธ์ในระดับปานกลางกับการยอมรับกฎหมายห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก่บุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่า20ปีบริบูรณ์ 9.ตัวแปรที่สามารถอธิบายการยอมรับกฎหมายห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก่บุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์โดยมีความสำคัญตามลำดับ คือ การเปิดรับข่าวสารจากสื่อบุคคล และทัศนคติ

หนุมานในหนังสือการ์ตูนไทยปัจจุบัน

วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการปรับเปลี่ยนบุคลิกลักษณะและบทบาทของตัวละครหนุมานที่ปรากฏในหนังสือการ์ตูนไทยปัจจุบัน โดยพิจารณาเปรียบเทียบกับตัวละครหนุมานในบทละครเรื่องรามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 1 ผู้วิจัยได้รวบรวมข้อมูลจากหนังสือการ์ตูนไทยที่ปรากฏตัวละครหนุมานซึ่งตีพิมพ์ระหว่าง พ.ศ.2547-2551 จำนวน 11 เรื่อง ผลการศึกษาพบว่าเนื้อเรื่องในหนังสือการ์ตูนไทยปัจจุบันที่ปรากฏตัวละครหนุมานสามารถจำแนกได้ 3 ลักษณะ คือ ใช้เนื้อเรื่องเดียวกับเรื่องรามเกียรติ์ เนื้อเรื่องมีการดัดแปลงจากเรื่องรามเกียรติ์และผสมผสานกับอนุภาคใหม่ และสร้างเนื้อเรื่องขึ้นใหม่ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องรามเกียรติ์ จากการศึกษาลักษณะบุคลิกและบทบาทของตัวละครหนุมานในหนังสือการ์ตูนไทยปัจจุบันมีทั้งส่วนที่คงเดิมและปรับเปลี่ยนจากตัวละครหนุมานในบทละครเรื่องรามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่1ส่วนที่ยังคงเดิม คือรูปลักษณ์ภายนอกที่ยังคงความเป็นวานรเผือกและมีตรีเพชรเป็นอาวุธประจำกาย ในขณะที่บางเรื่องพบว่ามีการปรับเปลี่ยนลักษณะของตัวละครหนุมานให้มีรูปร่างขนาดเล็กเพื่อให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็ก รวมถึงการสร้างสรรค์ลักษณะของตัวละครหนุมานให้เป็นยอดมนุษย์ตามอิทธิพลของวัฒนธรรมร่วมสมัย ตัวละครหนุมานมีบทบาทเป็นผู้ช่วยตัวละครเอกในวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ แต่สำหรับหนังสือการ์ตูนไทยปัจจุบันแม้บทบาทผู้ช่วยตัวละครเอกยังคงปรากฏอยู่แต่หนุมานในการ์ตูนบางเรื่องได้รับการปรับเปลี่ยนให้เป็นผู้ช่วยตัวละครอื่นที่ไม่ใช่พระรามและไม่ได้ช่วยทำศึกสงคราม กล่าวคือ หนุมานมีบทบาทในการคุ้มครองและช่วยเหลือตัวละครเอกให้ปลอดภัยจากอันตรายในการผจญภัย ในขณะเดียวกันตัวละครหนุมานก็มีบทบาทเป็นตัวละครเอกในการ์ตูนที่มีเนื้อเรื่องแบบใหม่ที่เกี่ยวกับยอดมนุษย์ผู้พิทักษ์โลกและจักรวาล หนุมานมีหน้าที่ปราบสัตว์ประหลาดและปกป้องพระพุทธศาสนา สำหรับเหตุปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการปรับเปลี่ยนบุคลิกลักษณะและบทบาทของตัวละครหนุมานที่ปรากฏในหนังสือการ์ตูนไทยปัจจุบันมี 4 ประการ คือ จินตนาการของผู้แต่ง อิทธิพลจากวรรณกรรมและวัฒนธรรมไทย อิทธิพลจากวรรณกรรมและวัฒนธรรมต่างชาติ และลักษณะการสร้างงานแนววัฒนธรรมประชานิยม ส่วนลักษณะเด่นที่เกิดจากการปรับเปลี่ยนบุคลิกลักษณะและบทบาทของตัวละครหนุมาน ได้แก่ลักษณะการผสมผสานทางวัฒนธรรมและลักษณะสัมพันธบท พลวัตของการปรับเปลี่ยนดังกล่าวจึงส่งผลให้ตัวละครหนุมานในการ์ตูนไทยปัจจุบันมีลักษณะที่โดดเด่นและน่าสนใจ

การออกแบบวงจรซีมอสออสซิลเลเตอร์แบบวงแหวนที่กินกำลังงานต่ำและไม่ขึ้นกับแรงดันขีดเริ่มเปลี่ยน เพื่อประยุกต์ใช้กับวงจรนาฬิกาเวลาจริง

นำเสนอการออกแบบวงจรออสซิลเลเตอร์แบบวงแหวนที่ให้กำเนิดสัญญาณรูปสามเหลี่ยม ที่มีความถี่คงที่และแม่นยำโดยไม่ต้องใช้ผลึกควอตซ์เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับวงจรนาฬิกาเวลาจริง วงจรออสซิลเลเตอร์ที่ออกแบบนี้ใช้หลักการอัดประจุด้วยกระแสคงที่ และคายประจุด้วยสวิตซ์สลับกันไป โดยวงจรออสซิลเลเตอร์แบบวงแหวนประกอบด้วยวงจรขยายสัญญาณ 3 ภาค (Stage) ต่อพ่วงกันเป็นวงแหวน (Ring) แต่ละภาคใช้ NMOS ขับแหล่งกำเนิดกระแส และตัวเก็บประจุขนาด 1 พิโคฟารัด แหล่งกำเนิดกระแสที่ใช้ได้ถูกออกแบบมาให้มีขนาดขึ้นกับแรงดันขีดเริ่มเปลี่ยน จึงทำให้ความถี่ไม่แปรตามแรงดันขีดเริ่มเปลี่ยนได้ และแสดงค่าความถี่ที่ได้จากการออกแบบโดยการวิเคราะห์วงจรออสซิลเลเตอร์ ที่ออกแบบเปรียบเทียบกับค่าความถี่ที่ได้จากผลการจำลองการทำงานของโปรแกรม HSPICE และโปรแกรมวาดลายวงจร ได้ผลการทดสอบโดยสร้างวงจรด้วยเทคโนโลยีระดับ 0.35 ไมครอน พบว่าวงจรสามารถสร้างความถี่ได้ตามต้องการโดยจะมีความผิดพลาด ±0.1% ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่า วงจรสามารถทำงานได้ที่แรงดันไฟเลี้ยงตั้งแต่ 2.5 ถึง 3.3 โวลต์ วงจรดังกล่าวกินกำลังไฟฟ้าเฉลี่ย 5.08 ไมโครวัตต์ ที่แรงดันไฟเลี้ยง 3.3 โวลต์ และอุณหภูมิ 27 องศาเซลเซียส

การวางแผนการควบรวมสินค้าและจองตู้คอนเทนเนอร์สำหรับตัวแทนรับส่งสินค้าทางทะเล

ศึกษาการวางแผนการจัดการขนส่งสินค้าสำหรับบริษัทตัวแทนผู้รับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทางทะเล (Sea freight forwarder) ที่ให้บริการในลักษณะไม่เต็มตู้คอนเทนเนอร์ (Less than container load: LCL) หน้าที่ที่สำคัญในการวางแผนคือการจองตู้คอนเทนเนอร์และควบรวมสินค้าเพื่อจัดเข้าตู้คอนเทนเนอร์ เพื่อขนส่งไปยังจุดหมายตามความต้องการของลูกค้า งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแบบจำลองทางคณิตศาสตร์และขั้นตอนการแก้ปัญหา เพื่อช่วยการตัดสินใจเลือกจำนวนตู้คอนเทนเนอร์แต่ละประเภทที่จะต้องจองในแต่ละเส้นทาง และจัดเส้นทางการส่งสินค้าแต่ละคำสั่ง โดยใช้ประโยชน์จากการควบรวมสินค้าภายใต้เงื่อนไขสภาวะการดำเนินงานจริงโดยพิจารณาถึง ความเหมาะสมของต้นทุนของบริษัทตัวแทนผู้รับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเป็นหลัก ข้อมูลที่ใช้ทดสอบมาจากบริษัทตัวแทนขนส่งสินค้าขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในประเทศ ผลลัพธ์ที่ได้แสดงให้เห็นว่า แผนการดำเนินการที่ได้จากแบบจำลองสามารถสร้างผลกำไรได้ดีกว่า แผนการดำเนินการที่ได้จากการวางแผนด้วยมืออย่างมีนัยสำคัญ

การวิเคราะห์อุปกรณ์ผิดพร่องบนเครือข่ายระบบส่งไฟฟ้าโดยใช้ระบบผู้เชี่ยวชาญ

งานวิจัยที่ผ่านมาได้นำเสนอการวิเคราะห์หาอุปกรณ์ผิดพร่องในระบบส่งโดยใช้ระบบผู้เชี่ยวชาญ อย่างไรก็ดีวิธีดังกล่าวจำเป็นต้องอาศัยฐานข้อมูลขนาดใหญ่ในการจัดเก็บข้อมูลการเชื่อมต่อกันของอุปกรณ์ทั้งหมดในระบบส่ง ในวิทยานิพนธ์ฉบับนี้นำเสนอการใช้ระบบผู้เชี่ยวชาญช่วยในการวิเคราะห์หาอุปกรณ์ที่ผิดพร่องบนเครือข่ายระบบส่ง ด้วยข้อมูลสถานะและเวลาในการทำงานของรีเลย์และอุปกรณ์ตัดตอนที่ถูกบันทึกด้วยอุปกรณ์บันทึกความผิดพร่องแบบดิจิตัล ระบบผู้เชี่ยวชาญจะคัดกรองเหตุการณ์ที่ไม่มีนัยสำคัญออก และนำเหตุการณ์ที่มีนัยสำคัญไปวิเคราะห์หาอุปกรณ์ผิดพร่อง ในการวิเคราะห์นี้สามารถทำได้โดยอาศัยกฎการตั้งชื่ออย่างเป็นระบบ ของช่องสัญญาณของอุปกรณ์บันทึกความผิดพร่องแบบดิจิตัล จึงไม่จำเป็นต้องอาศัยข้อมูลการจัดเรียงบัสในสถานีไฟฟ้า ช่วยลดความจำเป็นในการสร้างฐานข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ และขั้นตอนในการปรับปรุงให้ฐานข้อมูลเหล่านั้นทันสมัยอยู่เสมอ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในสถานีไฟฟ้า สำหรับขั้นตอนวิเคราะห์หาอุปกรณ์ผิดพร่อง จะอาศัยวิธีคำนวณความน่าจะเป็นของสถานะการทำงานของอุปกรณ์ทั้งหมดในสถานีไฟฟ้า สำหรับการจัดเรียงบัสแต่ละประเภท ทำให้สามารถวิเคราะห์หาอุปกรณ์ผิดพร่องได้อย่างถูกต้อง แม้ในกรณีที่มีข้อมูลรีเลย์และอุปกรณ์ตัดตอนไม่ครบทุกตัว ผลการทดสอบกับข้อมูลจากเหตุการณ์จำลองและเหตุการณ์จริง ให้ผลความถูกต้องเกิน 90%

การคุ้มครองบุคลิกลักษณะของตัวละคร

แม้ตัวละครจะถือเป็นเพียงส่วนประกอบของงานวรรณกรรม แต่ตัวละครบางตัวในงานวรรณกรรมกลับถูกแยกออกมาจากงานดั้งเดิมที่ปรากฏอยู่ และถูกนำไปใช้ในการหาประโยชน์เชิงพาณิชย์รูปแบบต่าง ๆ โดยเฉพาะตัวละครที่มีบุคลิกลักษณะเด่นชัดหรือมีเอกลักษณ์เฉพาะ ด้วยเหตุนี้ ตัวละครในงานวรรณกรรมจึงกลายมาเป็นสิ่งที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจในโลกธุรกิจยุคปัจจุบัน ทำให้บุคคลบางกลุ่มนำตัวละครไปหาประโยชน์เชิงพาณิชย์โดยมิชอบซึ่งการกระทำดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์และความชอบธรรมของผู้ประพันธ์เป็นอย่างยิ่งวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ได้ศึกษาถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการให้ความคุ้มครองบุคลิกลักษณะของตัวละครในงานวรรณกรรม ทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศไทย เพื่อแสวงหารูปแบบและแนวทางที่เหมาะสมในการให้ความคุ้มครองบุคลิกลักษณะของตัวละครในงานวรรณกรรมของไทย มิให้ถูกบุคคลอื่นนำไปหาประโยชน์เชิงพาณิชย์โดยมิชอบ ทั้งนี้ ได้มีการสอบถามความคิดเห็นของผู้ประพันธ์ซึ่งถือเป็นบุคคลสำคัญที่ได้สร้างสรรค์บุคลิกลักษณะของตัวละครในงานวรรณกรรมให้เกิดขึ้นด้วยจากการศึกษาวิจัยพบว่ากฎหมายไทยในปัจจุบันสามารถให้ความคุ้มครองบุคลิกลักษณะของตัวละครในงานวรรณกรรมได้ภายใต้กฎหมายลิขสิทธิ์และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เรื่องละเมิด กล่าวคือ ผู้ประพันธ์มีสิทธิในการฟ้องบุคคลที่นำตัวละครของตนไปหาประโยชน์เชิงพาณิชย์โดยมิได้รับอนุญาตได้สองทาง ทางแรก อาศัยกฎหมายลิขสิทธิ์เรื่องหลักธรรมสิทธิของผู้สร้างสรรค์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 18 ซึ่งต้องอยู่ในเงื่อนไขที่ว่าการนำบุคลิกลักษณะของตัวละครไปใช้นั้นได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงและเกียรติคุณของผู้ประพันธ์ ทางที่สอง อาศัยกฎหมายว่าด้วยละเมิดเรื่องหลักการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 421 โดยถือว่า แม้บุคคลทั่วไปต่างมีสิทธิในการสร้างสรรค์งานของตนเอง แต่การใช้สิทธิดังกล่าวต้องไม่ส่งผลกระทบหรือก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ประพันธ์ อย่างไรก็ตาม มิใช่ตัวละครในงานวรรณกรรมทุกตัวที่สมควรได้รับความคุ้มครอง แต่ตัวละครที่สมควรได้รับความคุ้มครองจะต้อง (1) ถูกบรรยายออกมาให้เห็นเด่นชัด (2) ทำให้เกิดเรื่องราวในงานวรรณกรรม (3) ได้รับการพัฒนาเป็นอย่างดี (4) มีความโดดเด่นหรือมีเอกลักษณ์เฉพาะ ด้วยเหตุนี้ ประเทศไทยจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องบัญญัติกฎหมายเฉพาะเพื่อให้ความคุ้มครองตัวละครตามหลักเกณฑ์ 4 ประการข้างต้น เพราะจะก่อให้เกิดความซ้ำซ้อนกับบทกฎหมายในปัจจุบันที่สามารถนำมาปรับใช้ได้อยู่แล้ว

การพัฒนาโมเดลเชิงสาเหตุของการมีอัตลักษณ์ของชาติและความภูมิใจในชาติของเยาวชนไทย

การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) วิเคราะห์และเปรียบเทียบระดับการมีอัตลักษณ์ของชาติและความภูมิใจในชาติของเยาวชนไทยในระดับมัธยมศึกษาที่มีภูมิหลังต่างกัน (2) พัฒนาโมเดลเชิงสาเหตุของการมีอัตลักษณ์ของชาติและความภูมิใจในชาติของเยาวชนไทย และ (3) ตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลเชิงสาเหตุของการมีอัตลักษณ์ของชาติและความภูมิใจในชาติของเยาวชนไทยที่พัฒนาขึ้นกับข้อมูลเชิงประจักษ์ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ นักเรียนมัธยมศึกษาของโรงเรียนในกรุงเทพมหานคร จำนวน 578 คน ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยตัวแปรแฝง 5 ตัวแปร ได้แก่ การมีอัตลักษณ์ของชาติ ความภูมิใจในชาติ ปัจจัยด้านครอบครัว ปัจจัยด้านสังคมไทย และปัจจัยด้านการเรียนการสอน โดยมีตัวแปรสังเกตได้ 18 ตัวแปร เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้คือ แบบสอบถาม ซึ่งมีความเที่ยงในการวัดตัวแปรสังเกตได้ ตั้งแต่ .9158 ถึง .9749 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์ค่าสถิติพื้นฐาน การทดสอบทีแบบเป็นอิสระต่อกัน การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว การวิเคราะห์ค่าสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป SPSS for Windows และการวิเคราะห์โมเดลลิสเรล ด้วยโปรแกรม LISREL 8.72 ผลการวิจัยมีดังนี้ (1)เยาวชนไทยมีอัตลักษณ์ของชาติและความภูมิใจในชาติในระดับมาก โดยเพศหญิงมีอัตลักษณ์ของชาติและความภูมิใจในชาติสูงกว่าเพศชาย แต่ไม่พบความแตกต่างของของระดับการมีอัตลักษณ์ของชาติและความภูมิใจในชาติเยาวชนไทยที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นที่ต่างกัน(2)โมเดลเชิงสาเหตุของการมีอัตลักษณ์ของชาติและความภูมิใจในชาติของเยาวชนไทย ประกอบด้วย ปัจจัยที่มีอิทธิพลทางตรงและทางอ้อมต่อการมีอัตลักษณ์ของชาติและความภูมิใจในชาติของเยาวชนไทย โดยปัจจัยที่มีอิทธิพลทางตรงสูงสุดต่อการมีอัตลักษณ์ของชาติคือ ปัจจัยด้านสังคมไทย สำหรับปัจจัยที่มีอิทธิพลทางตรงสูงสุดต่อความภูมิใจในชาติ คือ การมีอัตลักษณ์ของชาติ ปัจจัยที่มีอิทธิพลทางอ้อมสูงสุดต่อความภูมิใจในชาติคือ ปัจจัยด้านสังคมไทย(3)โมเดลเชิงสาเหตุของการมีอัตลักษณ์ของชาติและความภูมิใจในชาติของเยาวชนไทย โดยภาพรวมมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (X²=57.55, df = 49, p = 0.188, RMSEA = 0.017, GFI = 0.989, AGFI=0.962, RMR=0.025) ตัวแปรในโมเดลสามารถอธิบายความแปรปรวนของการมีอัตลักษณ์ของชาติและความภูมิใจในชาติได้ร้อยละ...

ผลกระทบของนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำต่อการกระจายรายได้ของแรงงานไร้ทักษะทั้งในระบบและนอกระบบ

แรงงานถือว่าเป็นปัจจัยการผลิตที่มีความสำคัญต่อประเทศไทยเป็นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตามจะพบว่าแรงงานส่วนใหญ่ในประเทศไทยยังได้รับค่าจ้างที่ต่ำ โดยเฉพาะแรงงานไร้ทักษะ จำเป็นที่รัฐบาลต้องเข้ามาช่วยเหลือโดยการประกาศใช้นโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ ซึ่งการประกาศใช้นโยบายค่าจ้างขั้นต่ำไม่เพียงส่งผลกระทบต่อแรงงานไร้ทักษะในระบบ แต่ยังส่งผลกระทบต่อแรงงานกลุ่มอื่นในระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะแรงงานไร้ทักษะนอกระบบที่เป็นแรงงานกลุ่มใหญ่ในประเทศ การศึกษาในครั้งนี้จึงได้ศึกษาว่านโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ ส่งผลดีต่อแรงงานไร้ทักษะในระบบตามที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายไว้หรือไม่ และนอกจากนั้นยังศึกษาผลกระทบของนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ ที่มีต่อแรงงานไร้ทักษะนอกระบบที่เป็นแรงงานกลุ่มใหญ่ในประเทศ โดยใช้แบบจำลองดุลยภาพทั่วไป (Computable general equilibrium: CGE model) และบัญชีเมตริกซ์สังคมปี พ.ศ. 2549 (Social accounting matrix: SAM 2006) ในการศึกษาผลการศึกษาชี้ว่าเมื่อรัฐบาลประกาศใช้นโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ ส่งผลทำให้แรงงานไร้ทักษะในระบบมีค่าจ้างเพิ่มขึ้น แต่เมื่อพิจารณาทางด้านการจ้างงานกลับพบว่า แรงงานกลุ่มนี้มีการจ้างงานที่ลดลง ส่วนแรงงานไร้ทักษะนอกระบบมีค่าจ้างลดลง เนื่องมาจากแรงงานไร้ทักษะในระบบที่ถูกเลิกจ้าง ได้เข้ามาทำงานในตลาดแรงงานนอกระบบ นอกจากนี้ยังพบว่า การที่รัฐบาลประกาศใช้นโยบายค่าจ้างขั้นต่ำยังส่งผลให้ครัวเรือนที่มีรายได้ปานกลางถึงสูงมีรายได้เพิ่มขึ้น ส่วนครัวเรือนรายได้ต่ำกลับมีรายได้ที่ลดลง ส่วนภาคการผลิตมีต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นซึ่งส่งผลให้ราคาสินค้าในประเทศเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ทำให้ครัวเรือนมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำ เนื่องมาจากรายได้ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น เพื่อที่ไม่ให้แรงงานไร้ทักษะนอกระบบได้รับผลกระทบจากนโยบายนี้ รัฐบาลจำเป็นต้องเข้ามาช่วยเหลือแรงงานกลุ่มนี้

ผลของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้บนบล็อกด้วยเทคนิคการเล่าเรื่องตามหลักการการนำตนเองที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาระดับปริญญาบัณฑิต

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนที่เรียนด้วยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้บนบล็อก ด้วยเทคนิคการเล่าเรื่อง ตามหลักการนำตนเอง ประชากร คือนักศึกษาระดับปริญญาตรี กลุ่มตัวอย่างเลือกจากคุณลักษณะพื้นฐานของผู้เรียนคือ มีความสามารถในการถ่ายภาพผ่านการเรียนวิชาการถ่ายภาพเบื้องต้น สามารถใช้งานคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตได้อย่างชำนาญได้ผู้เรียนที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 2 ปีการศึกษา 2553 ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม สาขาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาจากนั้นทำการสุ่มเข้ากลุ่มตัวอย่างโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย (Sample Random Sampling) ได้กลุ่มผู้เรียนออกเป็น 2 กลุ่มคือกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มๆ ละ 15 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย บล็อก แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบประเมินความสร้างสรรค์ของผลงานสถิติที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ ค่าเฉลี่ย, ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test Independent)ผลการวิจัยพบว่า1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนของทั้ง 2 กลุ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .052. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในระดับความรู้ ความเข้าใจ ของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมหลังการเรียนไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

ผลกระทบของความใกล้ชิดที่มีต่อความร่วมมือวิจัยและพัฒนาระหว่างสถานประกอบการอุตสาหกรรมกับมหาวิทยาลัย

ดุษฎีนิพนธ์นี้ เป็นการศึกษาเพื่อหาคำตอบว่าความใกล้ชิด 5 ประเภท คือความใกล้ชิดเชิงการรับรู้ ความใกล้ชิดเชิงองค์กร ความใกล้ชิดเชิงสังคม ความใกล้ชิดเชิงสถาบัน และความใกล้ชิดเชิงภูมิศาสตร์ มีผลต่อการสร้างนวัตกรรมและการใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์อันเป็นผลจากความร่วมมือวิจัยและพัฒนาระหว่างสถานประกอบการอุตสาหกรรมกับมหาวิทยาลัย หรือไม่ อย่างไร ใช้ระเบียบวิธีวิจัยทั้งเชิงปริมาณโดยการวิเคราะห์สถิติถดถอย ซึ่งใช้ข้อมูลจากสถานประกอบการ 153 แห่ง และการวิจัยเชิงคุณภาพ ซึ่งทำการสัมภาษณ์ข้อมูลเชิงลึกผู้บริหารสถานประกอบการจำนวน 24 คน และผู้เกี่ยวข้องในระบบนวัตกรรมจำนวน 17 คนผลการศึกษาพบว่า ความใกล้ชิดที่มีผลต่อการสร้างนวัตกรรมและการใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ ประกอบด้วย (1) ความใกล้ชิดเชิงสังคม ทำให้เกิดเป้าหมายด้านธุรกิจที่ชัดเจนร่วมกัน เกิดความเชื่อใจในสิ่งที่คู่ความร่วมมือดำเนินการ และเป็นกลไกหลักให้เกิดความช่วยเหลือในกิจกรรมการวิจัยและกิจกรรมการพัฒนาผลิตภัณฑ์/กระบวนการ (2) ความใกล้ชิดเชิงภูมิศาสตร์ เป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างระบบความร่วมมือ โดยเพิ่มโอกาสในการปฏิสัมพันธ์และการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ชนิดที่อยู่ในตัวคน และทำให้ความร่วมมือมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง (3) ความใกล้ชิดเชิงการรับรู้ มีผลทำให้เกิดการกำหนดแนวทางพัฒนานวัตกรรมที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ขณะที่ความใกล้ชิดความใกล้ชิดเชิงองค์กรและความใกล้ชิดเชิงสถาบันนั้น ในงานศึกษาพบว่ายังไม่เอื้อต่อการสร้างความร่วมมือเท่าที่ควร นอกจากนี้ยังพบว่าความใกล้ชิดในระดับบุคคล คือความใกล้ชิดเชิงสังคมและความใกล้ชิดเชิงการรับรู้ มีส่วนในการยกระดับความใกล้ชิดประเภทอื่นๆ โดยรวม อีกทั้งช่วยลดข้อจำกัดที่เกิดจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกในลักษณะอื่นๆ ด้วย ผลการศึกษายังพบประเด็นที่ควรมีการปรับปรุงเพื่อนำไปสู่การยกระดับการขับเคลื่อนความร่วมมือวิจัยและพัฒนา ประกอบด้วย การที่ต้องลดความแตกต่างของความเข้าใจและการมีมุมมองด้านการร่วมมือวิจัยและพัฒนาที่ชัดเจนร่วมกัน รวมทั้งการส่งเสริมให้เกิดการรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับคู่ความร่วมมือ ซึ่งหน่วยที่เกี่ยวข้องในระดับนโยบาย หน่วยงานระดับปฏิบัติการทั้งมหาวิทยาลัย สถานประกอบการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระบบนวัตกรรม จำเป็นต้องร่วมกันปรับปรุงเพื่อให้ระดับความร่วมมือวิจัยและพัฒนานั้นมีมากขึ้นและคาดหวังผลสัมฤทธิ์จากความร่วมมือได้มากขึ้นด้วย

ผลของตัวกระทำอิมัลชันผสมต่อเสถียรภาพและประสิทธิภาพในการต้านแบคทีเรียของอิมัลชันน้ำมันกานพลูในน้ำ

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้น สำหรับล้างผิวสัมผัสอาหารของเครื่องมือแปรรูปแบบ ที่มีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคในอาหาร ซึ่งสารออกฤทธิ์คือน้ำมันกานพลู โดยศึกษาผลของปริมาณน้ำมันกานพลูและตัวทำอิมัลชันคือ Polyoxyethylene (20) sorbitan monolaurate (Tween 20 ซึ่งมีค่า hydrophilic-lipophilic balance หรือ HLB = 16.7) ต่อการเกิดและความเสถียรของอิมัลชัน ขนาดอนุภาคน้ำมันเฉลี่ยและอัตราการเปลี่ยนแปลงของอนุภาคน้ำมันเฉลี่ยเมื่อเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้อง (28±1oC) และประสิทธิภาพการต้านฤทธิ์แบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคในอาหาร (ได้แก่ Stapylococcus aureus ATCC 25923 Escherichia coli ATCC 25922 Salmonella Choleraesuis ATCC 10708 และ Bacillus cereus ATCC 6228) โดยทำการลดขนาดอนุภาคน้ำมันด้วยคลื่นเหนือเสียงที่กำลัง 400 Watt amplitude 80 µm และ ความถี่ 24 kHz เป็นเวลา 30 นาที นอกจากนี้ยังศึกษาผลของการใช้ตัวทำอิมัลชันผสมระหว่าง Tween 20 กับ Span 3 ชนิด คือ sorbitan monolaurate (Span 20 มีค่า HLB = 8.6) sorbitan monostearate (Span 60 มีค่า HLB...

ความสัมพันธ์ของปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมกับการระบาดของไข้หวัดนก การประเมินความเสี่ยง และการออกแบบระบบเตือนภัย

การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมข้อมูลชนิดของสัตว์ปีก และสัตว์อื่นๆ ที่ติดเชื้อไข้หวัดนก ช่วงเวลาและแหล่งที่มีการระบาดของไข้หวัดนกในประเทศไทย รวบรวมข้อมูลปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมกับการระบาดของไข้หวัดนก เพื่อประเมินความเสี่ยงการระบาดและออกแบบระบบเตือนภัยโรคไข้หวัดนก ผลการศึกษาพบว่าการเป็นจุดเริ่มต้นของโรคมีความสัมพันธ์กับความแตกต่างของอุณหภูมิในรอบวัน ความแตกต่างของความเร็วลมในรอบวัน ความหนาแน่นของหมู่บ้านในรัศมี 5 กิโลเมตร และระยะห่างจากจุดเกิดโรคในครั้งก่อน พบว่าจำนวนหมู่บ้านในรัศมี 5 กิโลเมตร มีความสัมพันธ์กับการระบาดของโรค ระหว่างปี 2547-2551 การประเมินความเสี่ยงต่อการเป็นจุดเริ่มต้นของโรคในครั้งนี้ได้ใช้สถิติเชิงพรรณนาโดยถือว่าหากมีการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมสูงกว่าค่าของ sensitivity ที่ต่ำที่สุดหมายความว่ามีความเสี่ยง สำหรับการออกแบบระบบเตือนภัยได้กำหนดเงื่อนไขและขั้นตอนดังนี้ คือ ตรวจสอบข้อมูลสภาพอากาศในรอบวัน เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลนำมาตรวจสอบในรูปแบบตามความสัมพันธ์ และประเมินความเสี่ยง และหากผลที่ได้อยู่ในช่วงของความเสี่ยงจะดำเนินการขั้นต่อไปคือ แจ้งหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบในพื้นที่เฝ้าระวังการเกิดโรคไข้หวัดนกต่อไป

The Transformation from Farmer to Entrepreneur in Khon Kaen Province, Thailand

, , & Panu Suppatkul
Journal of Mekong Societies, 15, 3, 95-120

What Constitutes an Effective English Teacher: Perceptions of Thai Tertiary Learners in Thailand

Eric A. Ambele Bordin Waelateh
วารสารวิทยบริการ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, 30, 3, 201-209

การเขียนรายการอ้างอิงตามรูปแบบ APA พิมพ์ครั้งที่ 6: ข้อเสนอแนะบางประการต่อนักวิชาการข้ามชาติ

วารสารวิทยบริการ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, 30, 3, 220-227

พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายในสังคมปัจจุบัน

วารสารวิทยบริการ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, 30, 3, 121-127

Registration Year

  • 2019
    22,765

Resource Types

  • Dataset
    19,825
  • Text
    2,940